วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

การใช้เวลา...และ...AI

     การใช้เวลาของเรานั้น หากใช้ให้เป็นประโยชน์ ล้วนแต่ทำให้เกิดสิ่งดีๆกับเราได้ทั้งนั้น ดังเหมือนกับประสบการณ์ของเรากลุ่มหนึ่ง ซึ่งได้เล่าเรื่องที่ได้ใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ 4 แบบ 5 เรื่องราว ดังนี้

ประสบการณ์ในการใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพ

เรื่องแรก คือ ใช้เวลาในการออกกำลังกายในแต่ละวันในระยะเวลา 2 เดือน เริ่มตื่นเวลาหกโมงเช้า เพื่อเตรียมตัวออกกำลังกายและขับรถออกไปเพื่อซ้อมบาสเกตบอล 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้น 8 โมงเช้าจะกินข้าวเช้าและทำกิจกรรมอื่นๆ ก่อนกินข้าวเที่ยงก็จะไปเข้ายิมเพื่อออกกำลังกายประมาณ 1 ชม. และเมื่อสี่โมงเย็นก็จะไปวิ่งเวลาประมาณ  2 ชั่วโมง จากนั้นจึงเป็นเวลาพักผ่อนยาว ซึ่งผลที่ได้คือ ช่วยให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และมีกล้ามอย่างที่ตั้งใจไว้ มีรูปร่างดีอย่างที่ต้องการ

เรื่องที่สอง ช่วงปริญญาตรี เมื่อตอนทำโปรเจคจบ จะตั้งกฎกับตัวเองไว้ว่า จะทำงานประมาณ 3 ชั่วโมงในทุกวัน และจะคิดงานตอนอาบน้ำทุกครั้ง โดยจะพกสมุดเขียนแบบพกติดตัวไว้ตลอดเวลา เพื่อเวลาที่คิดงานออกจะได้เขียนได้เลยในทันที เวลาที่ทำโปรเจคนั้นรวมทั้งหมดเป็นเวลา 7 เดือน โดยจะตั้งเป้าหมายในการทำงานทุกๆเดือน และวางแผนในการทำงานทุกครั้งว่าจะทำอย่างไร จะมีปฏิทินเขียนกำหนดหารแล้วตังเป้าหมายสิ่งที่จะทำ หากไม่สำเร็จก็จะปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา ผลที่ได้คือ โปรเจคสามารถสำเร็จด้วยดี  ได้คะแนนที่ดี โดยไม่ต้องเหนื่อยเหมือนเพื่อนคนอื่นที่มาเร่งส่งตอนสุดท้าย

เรื่องที่สาม ตอนช่วงปี 2 ตอนปิดเทอมได้มีโอกาสไปทำงานพาร์ทไทม์ที่โรงภาพยนตร์ SF Cinema ขอนแก่น แผนก Concession ตรงเคาน์เตอร์ขายขนม ซึ่งก่อนขายจะต้องมีการเตรียมของ นับสินค้า และภาชนะที่ใส่สินค้า เช่น แก้วน้ำ กล่องป๊อปคอร์น เพื่อที่ตอนปิดร้านจะต้องนับสินค้าและภาชนะอีกครั้งว่าขายได้ปริมาณเท่าไหร่ หากปริมาณที่นับได้ไม่ตรงกับจำนวนที่ขายได้ก็จะโดนปรับเงินเท่ากับจำนวนสินค้าที่ขาดไป เมื่อเลิกงานก็ต้องเตรียมของให้พร้อมสำหรับขายวันต่อไป และทำความสะอาดร้านก่อนกลับ ซึ่งบางวันในช่วงแรกก็ทำงานจนเลยเวลาไปดึก กลับมาก็เหนื่อยมาก จนบางวันตื่นสายทำให้เข้างานช้าก็จะโดนหักเงิน ดังนั้นจึงปรับเปลี่ยนตนเอง โดยไปทำงานก่อนเวลา 45 นาที เพื่อจะได้มีเวลานับของให้ละเอียดไม่ให้ผิดพลาด และช่วงไหนที่ไม่มีลูกค้าก็จะคอยเช็ดทำความสะอาดไปเรื่อยๆไม่ให้สกปรกมากไป คอยจัดของให้เป็นระเบียบเพื่อไม่ต้องทำความสะอาดหนักๆต้องเลิกงาน และคอยนับของอยู่เรื่อยๆ นับจากนั้นก็ไม่ต้องกลับดึกอีกต่อไป แล้วยังสามารถตื่นมาทำงานได้ก่อนเวลา และไม่เคยโดนหักเงินอีกเลย ได้เงินเต็มจำนวน มีความสุขและภูมิใจที่ได้หาเงินได้ด้วยตัวเอง

เรื่องที่สี่ ช่วงเรียน .ตรี ตอนปี 1-2 มักจะเกิดปัญหา คือ การอ่านหนังสือไม่ทันสอบ แล้วเรียนไม่รู้เรื่องเพราะเข้าเรียนสาย และไม่ตั้งใจเรียน ทำให้เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5-2.7 แต่เมื่อขึ้นปี 3 เราก็เริ่มตั้งเป้าหมายว่าจะเรียนให้จบภายใน 3 ปีครึ่งและเกรดเฉลี่ยจบต้อง 3.00 ขึ้นไป จากนั้นก่อนสอบทุกครั้ง จะจัดตารางเวลาในการอ่านหนังสือในแต่ละวันก่อนสอบ 2-3 สัปดาห์ โดยใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงต่อวิชา ซึ่งผลทำให้อ่านหนังสือทันทุกวิชา อีกทั้งยังตั้งใจเรียนในคาบเรียนจะช่วยลดระยะเวลาในการทำความเข้าใจเนื้อหาวิชาได้ หลังจากจัดตารางเวลาแล้ว ผลการเรียนในปี 3 มีเกรดเฉลี่ย 3.7 ซึ่งรู้สึกสนุกและมีความสุขกับการเรียน รู้สึกชอบวิชาที่เรียน และสามารถจบภายใน 3 ปีครึ่งได้ และมีเกรดเฉลี่ยมากว่า 3.00

เรื่องที่สุดท้าย ช่วงที่ทำงานพาร์ทไทม์ร้านกาแก สนใจที่จะทำกาแฟแบบลาเต้อาร์ต คือ การเทนมใส่กาแฟให้เป็นรูปต่างๆ ก็ศึกษาหาข้อมูลในเวลาว่าง พอตอนทำงานก็ลองฝึกทำทุกวัน วันละนิด พอทำไม่ได้ก็ศึกษาและทำการแก้ไขวันละเล็กวันละน้อย จนสามารถทำได้ โดยใช้ฝึกทำอยู่ประมาณ 2 เดือน ทำให้รู้สึกว่าถ้าเรามีความตั้งใจที่จะทำอะไรแล้วก็จะสามารถทำได้สำเร็จ

สามคำที่สรุปได้ของเราคือ  “Smart Hard Maintain”

บุคคลตัวอย่างด้านเวลาและความมุ่งมั่น

ตัวอย่างแรก อัลเบิร์ต  ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวเยอรมันเชื้อสายยิวที่มีสัญชาติสวิสและอเมริกัน ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เขาเป็นผู้เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพ จากนั้นชื่อเสียงของเขาได้ขยายออกไปมากกว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่น ในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์ ได้กลายมาเป็นแบบอย่างของความฉลาดหรืออัจฉริยะ 
ในปี .. 2542 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ได้รับยกย่องเป็น "บุคคลแห่งศตวรรษ"  กัลลัพโพล ได้บันทึกว่าเขาเป็นบุคคลผู้ได้รับการยกย่องสูงที่สุดอันดับ 4 แห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 และจากการจัดอันดับ 100 บุคคลผู้มีอิทธิพลอย่างสูงในประวัติศาสตร์ ไอน์สไตน์เป็น "นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20 และหนึ่งในสุดยอดอัจฉริยะตลอดกาล"



ตัวอย่างที่สอง แคตเธอรีน คอมเมล (Katherine Commale) อายุแค่ 5 ขวบ ดูสารคดีของทวีปแอฟริกา แล้วได้รู้ว่า เฉลี่ย 30 วินาที จะมีเด็กคนหนึ่งตายเพราะโรคมาลาเรีย เธอจึงจ้องการช่วยเหลือเด็กๆเหล่านั้น โดยอย่างแรกเธอจึงบริจาคมุ้งเพื่อป้องกันเด็กแอฟริกาให้ปลอดภัยจากมาเลเรีย แม่พาแคตเธอรีนไปห้าง ใช้เงิน 10 เหรียญ ซื้อมุ้งใหญ่ อันหนึ่ง พอเด็ก 4 คน แล้วก็โทรหาองค์กรการกุศลที่ทำงานในแอฟริกา ว่าจะส่งมุ้งไปได้ยังไง และก็บังเอิญเจอหน่วยงานนึ่งที่ชื่อ Nothing but net ไม่เอาอะไรนอกจากมุ้ง
ผ่านไป 1 สัปดาห์เธอได้รับจดหมายขอบคุณจากหน่วยงานนี้ ใน จม. บอกว่าเธอเป็นผู้บริจาคที่อายุน้อยที่สุด และบอกอีกว่า ถ้าบริจาคครบ 10 อัน จะได้รับใบประกาศเกียรติคุณ แคตเธอรีนจขอให้แม่ไปเปิดท้ายขาย ของกับเธอ เอาหนังสือเก่า ของเล่น เสื้อผ้าเก่ามาขาย ได้เงินจะได้เอาไปบริจาค แต่ขายไม่ดีเลย เธอคิดว่า “’ตอนหนูบริจาคมุ้ง เขายังให้ใบประกาศเกียรติคุณ งั้นคนอื่นซื้อของหนู ให้เงินหนู งั้นเขาก็ต้องได้รับเหมือนกันเน๊าะแล้วเธอก็เริ่มลงมือทำ ใบประกาศเกียรติคุณ แม่ช่วยเธอซื้อวัสดุ พ่อช่วยจัดห้อง น้องชายช่วยวาดรูปหัวใจแห่งรัก ใบประกาศเกียรติคุณทุกใบมีลายมือที่เขียนโดยตัวเธอเองว่า ในนามของคุณ เราได้ซื้อมุ้ง 1 อัน ส่งไปแอฟริกาแน่นอน มีลายเซ็นต์เธอด้วย
แค่บริจาค 10 เหรียญ ซื้อมุ้ง 1 อัน ก็จะได้ใบประกาศเกียรติคุณเพื่อนบ้านเห็นใบประกาศเกียรติคุณของเธอ รู้สึกว่าไร้เดียงสาอย่างน่ารักมากและก็ซาบซึ้ง แค่ไม่นาน ใบประกาศเกียรติคุณก็ถูกแจกออกไป 10 ใบ เธอก็ส่งเงินไปที่หน่วยงาน ไม่เอาอะไรนอกจากมุ้งหน่วยงานก็ส่งใบประกาศเกียรติคุณและตั้งเธอเป็น ทูตแห่งมุ้ง
คนที่หน่วยงานบอกแคตเธอรีนว่า มุ้งที่เธอบริจาคถูกส่งไปยังหมู่บ้านหนึ่งในประเทศกาน่า ในหมู่บ้านมี 550 คน เพื่อนบ้านนอกจากซื้อมุ้งจากแคตเธอรีนยังช่วยเธอทำใบประกาศเกียรติคุณ กลายเป็นทีมงานแคตเธอรีน และ บาทหลวงในชุมชนก็เชิญเธอไปพูดในโบสถ์ พูดแค่ 3 นาที ก็ได้เงินบริจาคมา 800 เหรียญ ทำให้เธอมีกำลังใจเพิ่มขึ้นมาก เดินทางไปพูดที่โบสถ์อื่น ตอนเธออายุครบ 6 ขอบ ได้รับเงินบริจาคแล้ว 6316 เหรียญ จน ไม่เอาอะไรนอกจากมุ้งเอาเรื่องของเธอลงในเวป วันหนึ่งเธอเห็นเบคแฮ่มปรากฎตัวทาง TV ช่วยทำประชาสัมพันธ์การกุศลให้ ไม่เอาอะไรนอกจากมุ้งเธอรีบเขียนจดหมายขอบคุณไปให้เขา และแน่นอน เธอได้ส่งใบประกาศเกียรติคุณไปให้เขาด้วย 1 ใบ จากนั้นเบคแฮ่มเอาใบประกาศเกียรติคุณนี้ขึ้นเวปส่วนตัว เรื่องจึงแพร่กระจายออกไปอีก
นอกจากนั้น เธอและทีมงานลงมือทำใบประกาศเกียรติคุณ 100 ใบ ส่งให้มหาเศรษฐีที่ติดอันดับในนิตยาสาร ฟร๊อบในนั้นมีอยู่ใบนึงเขียนว่า คุณบิลเกตที่เคารพ ไม่มีมุ้ง เด็กแอฟริกาจะตายเพราะมาลาเรีย พวกเขาต้องการเงิน แต่เงินอยู่ที่คุณ....
อีกไม่กี่เดือนต่อมา มูลนิธิบิลเกตประกาศบริจาคเงิน 3 ล้านเหรีญให้ ไม่เอาอะไรนอกจากมุ้ง โดยบิลเกตบอกว่า ผมได้รับใบประกาศเกียรติคุณพร้อมจดหมายฉบับหนึ่ง บอกว่า เงินที่ซื้อมุ้งให้เด็กแอฟริกาอยู่ที่ผม ถ้าผมไม่เอาเงินออกมา ไม่ได้แน่ และ มูลนิธิบิลเกตออกเงินถ่ายทำสารคดี เด็กช่วยเด็กแคตเธอรีนจึงได้เหยียบแผ่นดินแอฟริกา ตอนเธอเห็นพวกเด็ก เขียนชื่อเธอไว้บนมุ้ง พวกเขาเรียกมุ้งช่วยชีวิตนี้ว่า "มุ้งแคตเธอรีน"
หมู่บ้านนี้ เดี๋ยวนี้ชื่อว่า "หมู่บ้านแคตเธอรีน"
หนูน้อยแคตเธอรีนอายุ 7 ขวบ ได้ช่วยชีวิตเด็กแอฟริกาแล้ว 20,000 คน
มันทำให้เรารู้สึกว่า เราสามารถใช่เวลาของเราทำเพื่อคนอื่นได้ และเป็นตัวเราเองที่มีความสุขจากการให้



บุคคลที่สาม คุณปัญญา นิรันดร์กุล (Punya Nirankul) เกิดมาจากครอบครัวชาวจีนที่มีฐานะยากจน จนขนาดที่ว่าแม่ของเขาต้องทำคลอดคุณปัญญาที่บ้านเอง เพราะไม่มีเงินพอที่จะไปคลอดที่โรงพยาบาล  แต่ถึงแม้ในวัยเด็กเขาจะต้องลำบากลำบนในการต่อสู้ชีวิตเพื่อความอยู่รอด เขาก็ไม่เคยโทษโชคชะตา ไม่เคยโทษพ่อแม่ของเขาเลย เพียงแต่เรียนรู้ว่าความจริงคืออะไร เมื่อรู้ความจริงปั๊บ ต่อไปอยากทำอะไร อยากได้อะไร เราก็กำหนดมันขึ้นมาเอง จะขีดเส้นใต้ไว้เสมอว่า อย่าไปโทษโชคชะตา ทุกอย่างเราก็ต้องกำหนดขึ้นมาเอง
                จากความคิดที่เด็ดเดี่ยวของเขา เขาก็ได้กำหนดตัวเองให้เรียนจบสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ดีกรีเพื่อไว้ไปสมัครงาน และเขาก็ได้งานเป็นพิธีกรรายการพลิกล็อค ของ JSL คู่กับดี๋ดอกมะดัน และรัชนู บุญชูดวง ซึ่งรายการนี้ในอดีตก็ถือว่าดังพอสมควรทีเดียว จากรายการในวันนั้น เขาก็ได้ไต่เต้าและพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ เขาผ่านมาทั้งงานหนัง งานละครหลายๆ เรื่องด้วยกัน และแล้วคำพูดที่เขาเคยพูดไว้ว่า ต่อไปอยากทำอะไร อยากได้อะไร เราก็กำหนดมันขึ้นมาเองเขาก็ได้ทำมันสำเร็จแล้ว เพราะวันนี้เขาได้เป็นถึงกรรมการผู้จัดการ บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่ผลิตรายการเกมโชว์ที่โด่งดังในรูปแบบต่างๆ อาทิ ชิงร้อยชิงล้าน, แฟนพันธุ์แท้, เกมทศกัณฐ์, เวทีทอง, เกมแก้จน, ระเบิดเถิดเทิง, เถ้าแก่ใหญ่, เกมจารชน, กล่องดำ ซึ่งแต่ละรายการล้วนแต่ได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างล้นหลาม จนเขาได้รับสมญานามว่า เจ้าพ่อเกมโชว์ไปโดยปริยาย
รายการที่ได้กล่าวถึงมาทั้งหมดนี้ มันได้ถูกกลั่นกรองมาจากความคิดของเขาและทีมงานเองทั้งหมด เขาไม่เคยคิดที่จะลอกเลียนแบบใคร เขาว่า ถ้าคุณคิดจะก๊อปปี้ คุณก็ตายตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว เพราะเมื่อไรเขาหยุด คุณก็ต้องหยุดด้วยเพราะคุณคิดเองไม่เป็น


ตัวอย่างที่สี่ เจมส์ โบเว่น (james Bowen) เขา­พ่อแม่ของโบเว่นแยกทางกันเมื่อเขาอายุได้ 3 ขวบ เข้าย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียกับคุณแม่ และพอโตขึ้น เขาก็ถูกข่มเหงอยู่บ่อยครั้ง เขาต้องเปลี่ยนโรงเรียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเข้ากับพ่อเลี้ยงคนใหม่ไม่ได้ ตอนโบเว่นอายุ 18 ปี เข้าเดินทางกลับไปอยู่อังกฤษคนเดียว และหลังจากอยู่อย่างจำกัดจำเขี่ยกับน้องสาวต่างมารดา เขาก็กลายมาเป็นคนเร่ร่อนตามถนน และติดเฮโรอีนในที่สุด
เขาติดเฮโรอีนอย่างหนัก และเกือบเสียชีวิตจากยามรณะชนิดนี้ จน 10 ปีต่อมา ในขณะที่เขากำลังอยู่ในช่วงบำบัดฟื้นฟู เขาก็มาพบกับแมวอ้วนสีส้มนอนอยู่ตรงปล่องบันได ซึ่งในตอนแรก เขาพยายามที่จะไล่มันไป เขาพามันออกไปข้างนอก แต่แมวก็ไม่ยอมไปไหน เขาเลยพามันเข้าบ้าน และนำมันไปที่ศูนย์สงเคราะห์สัตว์ RSPCA เพื่อรักษาฝีตรงขาและรักษาแผลตรงข้างลำตัว ซึ่งเขาเองต้องจ่ายเงินไปค่อนข้างมากสำหรับการรักษาเจ้าบ็อบ อย่างไรก็ตาม เขากลับบอกว่า เขาไม่รู้สึกว่านี่มันมากเกินไปสำหรับการช่วยเหลือแมวที่กำลังบาดเจ็บ
        ท้ายที่สุด โบเวนก็ปล่อยให้แมวอยู่ด้วยกันกับเขา ทั้งสองคนเริ่มตัวติดกันชนิดที่แยกกันไม่ออก และเริ่มออกไปเดินขอเงินตามท้องถนนรอบกรุงลอนดอน โดยโบเว่นจะเล่นกีตาร์ ขณะที่เจ้าบ็อบจะนั่งอยู่ที่เท้าหรือไม่ก็ขึ้นมานั่งตรงไหล่ บางครั้งผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาก็จะเอาอาหารแมว ของเล่น หรือเสื้อผ้ามาให้ มีคนหนึ่งที่เอาผ้าพันคอแมวสีม่วงมาให้ แล้วจากนั้น ทุกคนก็สรรหาเสื้อผ้ามาให้มันเรื่อยๆ 
        ทั้งนี้ แมรี่ แพนโช่ เอเจนซี่หนังสือที่ทำหนังสือเรื่อง มาร์เล่ย์ แอนด์ มี เวอร์ชั่นสหราชอาณาจักร โดยแพนโช่ ได้เดินผ่านไปผ่านมาหลายครั้ง และสอบถามโบเว่นว่า เขาสนใจที่จะบอกเล่าเรื่องราวของเขาไหม หลังจากนั้นไม่นาน โบเว่นก็มีสำนักพิมพ์ติดต่อเข้ามา และ 6 เดือนจากนั้น เขาก็มีหนังสือเป็นของตัวเอง ซึ่งวางแผงตรงกับวันเกิดของเขา ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า นี่ถือได้ว่าเป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตเลยทีเดียว โดยหนังสือที่ชื่อว่า A Street Cat Named Bob มียอดขายถึง 160,000 ฉบับ เฉพาะที่วางขายบนเกาะอังกฤษ และได้รับการแปลไปแล้วกว่า 18 ภาษา อีกทั้งยังพร้อมที่จะวางขายเป็นเวอร์ชั่นอเมริกาในฤดูร้อนปีหน้าด้วย นอกจากนี้ เจ้าบ็อบ ยังมีเฟซบุ๊กแฟนเพจเป็นของตัวเอง และบล็อกที่บอกเล่าเรื่องราวของแมวน้อยกับเจ้าของ ที่ชื่อว่า  "Around the World in 80 Bobs" ซึ่งแฟน สามารถลงรูปตามสถานที่ต่าง ที่ถ่ายคู่กับหนังสือได้ด้วย

จากชีวิตคนเร่ร่อน นอนข้างถนน ชีวิตผ่านไปแต่ละวันด้วยการเสพยาลักเล็กขโมยน้อยเพื่อหาเงินมาซื้อยา เจมส์ โบเวน รู้สึกว่าตนได้รับโอกาสอีกครั้งโอกาสให้แก้ตัวเพื่อกลายเป็นคนใหม่ จากบางสิ่งที่ก้าวเข้ามาในชีวิตอย่างไม่ได้ตั้งใจ บ๊อบคือกำลังและแรงใจให้เขาลุกขึ้นใหม่และพยายามทำให้ชีวิตของเขากับบ๊อบมีความสุขตราบนานเท่านาน โดยเรื่องของเขาเป็นแรงบันดาลใจที่บอกว่าการมีชีวิตอยู่เพื่อดูแลใครสักคน จะทำให้ชีวิตของเรามีค่าและมีความหมาย


และอีกธุรกิจสุดท้ายคือ ร้าน สตาร์บัคส์ ใช้เครื่องชงกาแฟที่ลดการใช้พนักงาน คือเป็นเครื่องกาแฟที่ทำงานอัตโนมัติ ทำให้กาแฟทุกแก้วมีรสชาติเหมือนกัน สร้างความประทับใจให้ลูกค้า สตาร์บัคส์กำหนดรูปแบบกิจการของตัวเองให้แตกต่างจากบริษัทอื่นแล้วตั้งแต่แรก รูปแบบที่ไม่ได้มีเพียงจุดเด่นอยู่ที่กาแฟและวิถีประเพณีดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังนำมาซึ่งความรู้สึกผูกพันอีกด้วย ทั้งยังการตกแต่งที่ดูสบายตาน่านั่ง ทำให้สตาร์บัคส์ ครองใจผู้ที่ชื่ชอบการดื่มกาแฟจนทำให้มีสาขามากมายทั่วโลก

สรุปได้ว่ารวดเร็ว ใส่ใจ มีความทันสมัย

Positive Deviance การค้นหาความต่างเชิงบวก
ตัวอย่างแรก คือ ร้านก๋วยเตี๋ยวที่โรงอาหารคณะศึกษาศาสตร์ เวลาที่ลูกค้าต่อแถวยาวๆ คนที่ทำก๋วยเตี๋ยวซึ่งจะมี2คน คนหนึ่งจะทำหน้าที่ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว อีกคนหนึ่งเครื่องเคียงต่างๆและปรุงก๋วยเตี๋ยว โดยคนที่ทำหน้าที่ลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวจะถามลูกค้าในแถว อันดับที่1-5 ก่อนเพื่อให้รู้ว่าลูกค้าต้องการจะรับประทานเส้นอะไร แล้วจึงเตรียมเส้นให้คนที่ทำหน้าที่ปรุงก๋วยเตี๋ยวต่อไป ทำให้เกิดความรวดเร็วทันใจลูกค้าต่างจากร้านก๋วยเตี๋ยวร้านอื่นๆ ที่ใช้เวลาทำนานมากกว่า

ตัวอย่างที่สอง  คือ ศูนย์ True จะมีตู้ให้บริการจ่ายเงินอัตโนมัติซึ่งมีความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้า แต่ที่ศูนย์บริการอีกแห่งหนึ่งต้องไปจ่ายที่หน้าเคาเตอร์เท่านั้น ซึ่งคิวยาวมาก ทำให้เสียเวลาในการไปจ่ายเงินแต่ละครั้ง และสร้างความมาพอใจให้กับลูกค้า

ตัวอย่างที่สาม บริษัทนครชัยแอร์ รถของนครชัยแอร์ ภายในจะดูดี สะอาดและมีความทันสมัยที่นั่งสบายต่างจากรถของบริษัทอื่น มีโซนสำหรับลูกค้าผู้หญิงโดยเฉพาะเพื่อความปลอดภัยของลูกค้า สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า พนักงานมีความเป็นมิตรและดูแลผู้โดยสารเป้นอย่างดี รถออกตรงเวลาและเดินทางไปถึงตรงเวลา ทำให้ผู้ดยสารไม่เสียเวลาและสามารถวางแผนการเดินทางได้แม่นยำ ต่างจากการบริการของบริษัทอื่น ซึ่งพนักงานไม่มีความเป็นมิตร แถวยังออกรถไม่ตรงเวลาทำให้ผู้โดยสารเสียเวลา

ตัวอย่างที่สี่ บัตรเดบิตของธนาคารกสิกรไทย สามารถทำบัตรใหม่โดยการตกแต่งบัตรของตัวเองได้ผ่านทางเวปไซด์ของธนาคาร และไปรับบัตรที่สาขาที่สะดวกได้เลย ขณะที่ธนาคารอื่นไม่มีบริการแบบนี้ ทำให้ไม่มีความหน้าสนใจ

ตัวอย่างสุดท้าย ขวดน้ำดื่มของน้ำทิพย์ จะทำขวดออกมาให้บางเพื่อลดปริมาณการใช้พลาสติก ต่างจากบริษัทอื่น ที่ขวดมีขนาดที่หนา ทำให้ทิ้งง่าย ปิดขวดทิ้งเพื่อประหยัดพื้นที่ขยะมากกว่า

สรุปสามคำ คือ “ฉลาดคิด ใส่ใจ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง”

Design (การออกแบบความฝัน)
การออกแบบความฝันจาก Divergence















(ภาพจากปฏิทินตั้งโต๊ะ ธนาคารกรุงเทพ ปีพ.ศ.2556)
10 วัน
วางแผนในการทำตามฝันโดยเริ่มจากการแบ่งเวลา ออกเป็น  2 ส่วนใหญ่ หนึ่ง เวลาในการทำให้เรียนให้จบ สอง เวลาใช้ในการทำตามความฝัน โดยในแต่ละวันจะต้องใช้เวลาไปกับการเรียนไม่ต่ำกว่า 30 นาที และใช้เวลาตามฝันไม่ต่ำกว่า 30 นาทีเช่นกัน โดยที่ส่วนใหญ่จะใช้เวลา 30 นาทีไปกับการหาต้นแบบที่ทำฝันได้สำเร็จดูว่าเขาทำอย่างไรจึงสำเร็จ
10 สัปดาห์
ยังคงทำตามการแบ่งเวลาอย่างต่อเนื่อง เริ่มมองหาลู่ทางในการทำธุรกิจ โดยขอคำปรึกษาจากผู้รู้เกี่ยวกับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือนักธุรกิจ เริ่มหาความรู้โดยการอ่านและสัมผัสโดยการเข้าหาโอกาสที่มาถึง เช่น การเข้าสัมมนา หรือการจัดอบรมต่างๆอย่างเต็มที่
10 เดือน
เรียนให้จบตามกำหนด ระดมทุนจากสมาชิกทุกคน เปิดกิจการโดยเริ่มจากสร้างแบรนด์ของตัวเองให้เป็นที่รู้จักผ่านการส่งขายตามแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ เปิดโรงงานผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นขนาดเล็ก มองหาที่ปรึกษาที่มีความสามารถ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง ยังคงแบ่งเวลาหาความรู้ให้ตัวเองอยู่เสมอ โดยในแต่ละวันจะต้องแบ่งเวลาหาความรู้ให้ตัวเองอยู่เสมอ โดยในแต่ละวันจะต้องแบ่งเวลาให้กับการหาความรู้เกี่ยวกับธุรกิจไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง
10 ปี
ขยายสาขาจาก 1 เป็น 2 จาก 2 เป็น 4 จนมีมากกว่า 20 สาขาทั่วประเทศ เพื่อจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ภายใน 8 ปี จะต้องทำให้บริษัทมียอดขายมากกว่า 100 ล้านบาทต่อปี และสร้างทีมบริหารที่มีความสามารถ โดยการใช้ความรู้ที่สะสมมาคัดเลือกคนที่จะอยู่ในทีม และบริษัทสามารถดำเนินกิจการได้ด้วยตัวเอง 80 เปอร์เซ็นต์ โดยในแต่ละวันก็ยังคงแบ่งเวลา 1-2 ชั่วโมง ในการหาความรู้ที่เกี่ยวกับธุรกิจอยู่เสมอ

10 ปีหลังจากตื่นจากฝัน
       เมื่อตื่นขึ้นมา พวกเราทั้ง 5 คน จะรู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยสบายใจมาก่อน ทุกๆคนต่างรู้สึกถึงความสุขในการทำงาน และความสุขในการใช้ชีวิตกับครอบครัว อย่างที่สุด พวกเราเข้าทำงาน 3 วันต่อสัปดาห์ทำให้พวกเราทั้ง 5 คน สามารถเอาเวลาที่เหลือจากการทำงาน ไปทำงานอดิเรกที่แต่ละคนชอบ และยังมีเวลาอยู่กับครอบครัว ไปเที่ยวในที่ต่างๆที่อยากไป ได้นอนหลับเต็มอิ่มไม่ต้องมีเรื่องให้กังวลใจอีกต่อไป พวกเราทั้ง 5 คนได้รวมตัวก่อตังบริษัท ผลิตเสื้อผ้าแฟชั่น ซึ่งมีสาขามากกว่า 20 สาขา ทั่วประเทศไทย ทำให้พวกเราทั้ง 5 คน มีรายได้คนละ 1,000,000 บาทต่อเดือน พวกเรามีความสุขกับการทำงานมาก เพราะแต่ละคนก็ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทของเรากำลังจะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งยิ่งจะทำให้บริษัทของเรามั่นคงมากขึ้น
สรุปสามคำ คือ “ค้นหา เข้าถึง แก้ไข”

รายชื่อสมาชิกในกลุ่ม
     นาย  ถิรวัฒน์                         ลีสิริกุล                 รหัสนักศึกษา    565740184-7      
    นางสาว กรกมล               เตรียมวิชานนท์          รหัสนักศึกษา    565740169-3
นางสาว ตวงพร              มาลา                           รหัสนักศึกษา   565740156-2
นางสาว วรัญญา                  อินทรสมบัติ            รหัสนักศึกษา    565740212-8
นาย ณัฐพัชร์วงษ์                 ธนานันท์                รหัสนักศึกษา   565740154-6


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น